คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตลาด Forex

Home » คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องในตลาด Forex

 ตลาด Forex คือตลาดที่มีการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศเกิดขึ้น จึงมีคำศัพท์และคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการทำงานในตลาดนี้ บางคำศัพท์อาจเป็นคำย่อหรือสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการแสดงข้อมูล อย่างเช่น

สกุลเงิน (Currency) เป็นหน่วยเงินที่ใช้ในการซื้อขายและประมาณการมูลค่าของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ สกุลเงินสามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินอื่นๆ ในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ตัวอย่างของสกุลเงินที่ใช้กันทั่วไปได้แก่

  • ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD),
  • ยูโรโซนยุโรป (EUR),
  • เยนญี่ปุ่น (JPY),
  • ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP),
  • ดอลลาร์แคนาดา (CAD),
  • แฟรงก์สวิส (CHF),
  • ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD),
  • ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)

เป็นต้น

คู่เงิน (Currency Pair) ในตลาด Forex หมายถึงการนำสองสกุลเงินมาเปรียบเทียบกันในการซื้อขาย ซึ่งประกอบด้วยสกุลเงินฐาน (Base Currency) และสกุลเงินเทียบ (Quote Currency) โดยระบุสกุลเงินฐานและสกุลเงินเทียบเป็นลำดับเลขตามที่กำหนด ตัวอย่างของคู่เงินได้แก่ EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, USD/CHF, AUD/USD, NZD/USD เป็นต้น

สกุลเงินฐาน (Base Currency) คือสกุลเงินที่ปรากฏตัวในด้านซ้ายของคู่เงิน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่นักลงทุนจะซื้อหรือขาย

สกุลเงินเทียบ (Quote Currency) คือสกุลเงินที่ปรากฏตัวในด้านขวาของคู่เงิน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่นักลงทุนจะใช้สำหรับการประเมินค่าของสกุลเงินฐาน

ตัวอย่างเช่น ในคู่เงิน EUR/USD สกุลเงินฐานคือ EUR (ยูโร) และสกุลเงินเทียบคือ USD (ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) การดูราคาในคู่เงินหมายถึงต้องใช้จำนวนเงินเทียบบางจำนวนในการซื้อขาย โดยราคาของคู่เงินแสดงถึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินฐานและสกุลเงินเทียบ และการเปลี่ยนแปลงของราคาในคู่เงินนั้นจะแสดงถึงความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไรในการซื้อขาย Forex

ส่วนต่างราคา (Spread) ในตลาด Forex หมายถึงความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของคู่เงิน ซึ่งเป็นค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากนักลงทุนในการซื้อขาย

ราคาซื้อ (Bid Price) คือราคาที่นักลงทุนพร้อมจะซื้อสกุลเงิน ซึ่งเป็นราคาที่โบรกเกอร์จ่ายให้กับนักลงทุนเมื่อนักลงทุนต้องการขายสกุลเงิน

ราคาขาย (Ask Price) คือราคาที่นักลงทุนพร้อมจะขายสกุลเงิน ซึ่งเป็นราคาที่นักลงทุนต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์เมื่อนักลงทุนต้องการซื้อสกุลเงิน

ส่วนต่างราคา (Spread) คือผลต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อในคู่เงิน ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ เป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์ในการให้บริการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex

Spread มีค่าต่างกันขึ้นอยู่กับคู่เงินที่นักลงทุนเลือกที่จะซื้อขาย โดยปกติแล้วคู่เงินที่มีความนิยมและความเป็นจริงมักจะมี Spread ที่ต่ำกว่า ส่วนคู่เงินที่มีความไม่นิยมหรือมีความลำบากในการซื้อขายมักจะมี Spread ที่สูงขึ้น

โบรกเกอร์ (Broker) ในตลาด Forex เป็นบริษัทหรือสถาบันทางการเงินที่ให้บริการในการซื้อขายสกุลเงินให้แก่นักลงทุน โดยการเป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อนักลงทุนกับตลาด Forex และผู้ให้ Liquidity (ความสามารถในการส่งมูลค่าสกุลเงินไปยังตลาด) โบรกเกอร์มีบทบาทสำคัญในการให้บริการเช่นการเปิดบัญชีการซื้อขายสกุลเงิน การให้คำแนะนำในการซื้อขาย การจัดการความเสี่ยง และการเชื่อมต่อผู้ลงทุนกับตลาด Forex ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต

โบรกเกอร์ให้บริการทั้งแบบเต็มรูปแบบ (Full-Service Broker) ซึ่งให้บริการการวิเคราะห์ตลาดและคำแนะนำในการซื้อขาย และแบบตัวกลาง (Discount Broker) ซึ่งให้บริการเฉพาะการซื้อขาย โดยไม่มีการให้คำแนะนำหรือวิเคราะห์ตลาด และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า

การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย Forex ควรพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ในวงการ การให้บริการ ค่าธรรมเนียม และประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มการซื้อขาย

การใช้เงินค้ำประกัน (Margin) ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายสกุลเงินในขนาดใหญ่กว่าเงินที่มีอยู่จริง แต่ต้องระวังเนื่องจากการใช้เงินค้ำประกันนั้นมีความเสี่ยงสูง หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่คาดคิดนักลงทุนอาจสูญเสียเงินค้ำประกันและอาจต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อคลองทุนต่อการซื้อขาย

นักลงทุนควรจัดการเงินค้ำประกัน (Margin) อย่างระมัดระวัง

เงินคำนวณ (Pip) ในการซื้อขาย Forex หมายถึงหน่วยการเปลี่ยนแปลงของราคาสกุลเงิน ซึ่งเป็นตัวบอกถึงการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่เงินในตลาด Forex แบบเล็กที่สุด

Pip จะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินในทศวรรษที่สี่ (0.0001) สำหรับคู่เงินหลักที่ใช้ USD เช่น EUR/USD, GBP/USD และคู่เงินอื่นๆ ที่ไม่ใช้ USD เช่น EUR/JPY, GBP/JPY จะแสดงผลเป็นจุดทศนิยมสองตำแหน่ง (0.01)

การคำนวณ Pip จะขึ้นอยู่กับทศนิยมในราคาของสกุลเงิน โดยสกุลเงินที่มีทศนิยมสองตำแหน่งจะมีค่า Pip เท่ากับ 0.01 ส่วนสกุลเงินที่มีทศนิยมสี่ตำแหน่งจะมีค่า Pip เท่ากับ 0.0001

ตัวอย่างการคำนวณ Pip:

  • สำหรับคู่เงิน EUR/USD ที่มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.2345 ถ้าราคาขึ้นไปยัง 1.2346 จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคา 1 Pip
  • สำหรับคู่เงิน GBP/JPY ที่มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 150.50 ถ้าราคาลดลงไปยัง 150.49 จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคา 1 Pip

การคำนวณ Pip ในการซื้อขาย Forex

นักลงทุนสามารถใช้สูตรดังนี้:

  • สำหรับคู่เงินที่มีทศนิยมสองตำแหน่ง (สกุลเงินที่ไม่ใช้ USD):
  • Pip = (ราคาเป้าหมาย – ราคาปัจจุบัน) x จำนวนหน่วยสกุลเงิน

ตัวอย่างการคำนวณ Pip: คู่เงิน: EUR/JPY

  • ราคาปัจจุบัน: 128.50
  • ราคาเป้าหมาย: 128.75
  • จำนวนหน่วยสกุลเงิน: 100,000

Pip = (128.75 – 128.50) x 100,000 = 25,000 JPY

  • สำหรับคู่เงินที่มีทศนิยมสี่ตำแหน่ง (สกุลเงินที่ใช้ USD):
  • Pip = (ราคาเป้าหมาย – ราคาปัจจุบัน) x จำนวนหน่วยสกุลเงิน x 0.0001

ตัวอย่างการคำนวณ Pip: คู่เงิน: EUR/USD

  • ราคาปัจจุบัน: 1.2345
  • ราคาเป้าหมาย: 1.2355
  • จำนวนหน่วยสกุลเงิน: 10,000

Pip = (1.2355 – 1.2345) x 10,000 x 0.0001 = 10 USD

โดยตัวอย่างที่ให้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น นักลงทุนควรใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำเพื่อคำนวณ Pip ตามค่าที่แน่นอนของราคาปัจจุบันและราคาเป้าหมาย รวมถึงการคำนวณเพิ่มเติมเช่น ค่า Spread และค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์

เงินคำนวณหน่วย (Lot) ในการซื้อขาย Forex เป็นหน่วยที่ใช้ในการระบุปริมาณของการซื้อขาย แต่ละ Lot มีขนาดหน่วยสกุลเงินที่กำหนดไว้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อกำหนดของโบรกเกอร์

สำหรับ Lot Standard หรือ Standard Lot:

  • หน่วยสกุลเงินใน 1 Lot Standard จะเป็น 100,000 หน่วยของสกุลเงิน

สำหรับ Mini Lot:

  • หน่วยสกุลเงินใน 1 Mini Lot จะเป็น 10,000 หน่วยของสกุลเงิน

สำหรับ Micro Lot:

  • หน่วยสกุลเงินใน 1 Micro Lot จะเป็น 1,000 หน่วยของสกุลเงิน

นอกจากนี้ยังมีหน่วย Lot อื่นๆ ที่ใช้ในการซื้อขาย Forex ตามความต้องการของนักลงทุนและข้อกำหนดของโบรกเกอร์ เช่น Nano Lot (หน่วยสกุลเงินใน 1 Nano Lot จะเป็น 100 หน่วยของสกุลเงิน) และมีบริษัทโบรกเกอร์ที่อาจมีหน่วย Lot ที่กำหนดเองเพิ่มเติม

การเลือกใช้หน่วย Lot ขึ้นอยู่กับสภาวะการเงินและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องการ ในทั่วไป เมื่อนักลงทุนมีความมั่นใจและมีทุนที่มากขึ้น จะมักเลือกใช้ Lot Standard เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายที่มาก ในขณะที่นักลงทุนที่มีทุนน้อยกว่า อาจเลือก Mini Lot หรือ Micro Lot เพื่อควบคุมความเสี่ยงในการซื้อขาย Forex

การเพิ่มเงิน (Leverage) ในการซื้อขาย Forex เป็นการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มพลังการซื้อขายของนักลงทุน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมการซื้อขายในขนาดใหญ่กว่าเงินที่มีอยู่จริง

การเพิ่มเงินในการซื้อขาย Forex แสดงผลในรูปแบบของอัตราส่วน (Ratio) เช่น 1:100, 1:200, หรือ 1:500 ซึ่งแสดงถึงจำนวนเงินที่สามารถยืมมาซื้อขายได้เท่ากับกี่เท่าของเงินที่มีอยู่จริง

ตัวอย่างเช่น:

  • หากคุณมีบัญชีซื้อขายที่มีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์และใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะสามารถทำธุรกรรมในขนาด 100,000 ดอลลาร์ได้
  • หากคุณมีบัญชีซื้อขายที่มีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์และใช้เลเวอเรจ 1:500 คุณจะสามารถทำธุรกรรมในขนาด 500,000 ดอลลาร์ได้

การเพิ่มเงินให้ความสามารถในการซื้อขายสกุลเงินในขนาดใหญ่กว่าเงินที่มีอยู่จริง แต่ต้องระวังว่าการใช้เลเวอเรจนั้นมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินอาจทำให้ขาดทุนมากกว่าเงินค้ำประกันที่มีอยู่ในบัญชี

นักลงทุนควรใช้เลเวอเรจในขนาดที่เหมาะสมต่อการซื้อขาย Forex

การสั่งซื้อ (Order) ในการซื้อขาย Forex เป็นกระบวนการที่นักลงทุนใช้เพื่อเปิดหรือปิดตำแหน่งการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex โดยส่งคำสั่งไปยังโบรกเกอร์เพื่อให้ทำการซื้อหรือขายให้ตรงตามที่กำหนด

โดยมีรูปแบบการสั่งซื้อพื้นฐานดังนี้:

  1. การสั่งซื้อทันที (Market Order): เป็นการสั่งซื้อหรือขายสกุลเงินในราคาปัจจุบันของตลาด โดยทันทีที่คำสั่งถูกส่ง โบรกเกอร์จะดำเนินการซื้อขายให้เสร็จสิ้นในราคาที่มีอยู่บนตลาด
  2. การสั่งซื้อรอราคา (Limit Order): เป็นการสั่งซื้อหรือขายสกุลเงินในราคาที่นักลงทุนต้องการ โดยระบุราคาที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการซื้อหรือราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการขาย โบรกเกอร์จะดำเนินการทำธุรกรรมเมื่อราคาของสกุลเงินถึงราคาที่ตั้งไว้
  3. การสั่งซื้อเงื่อนไขพิเศษ (Stop Order): เป็นการสั่งซื้อหรือขายสกุลเงินในราคาที่กำหนดเมื่อราคาของสกุลเงินที่นักลงทุนสั่งซื้อถึงระดับที่กำหนดไว้ โบรกเกอร์จะดำเนินการทำธุรกรรมเมื่อราคาถึงราคาที่กำหนด

ราคาซื้อ (Bid Price) ในการซื้อขาย Forex คือราคาที่นักลงทุนพร้อมจะซื้อสกุลเงินจากตลาด หรือราคาที่นักลงทุนสามารถขายสกุลเงินกับโบรกเกอร์ได้

ในคู่เงิน Forex ราคาซื้อจะแสดงเป็นคู่ ประกอบด้วยราคาซื้อ (Bid Price) และราคาขาย (Ask Price) โดยราคาซื้อจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาขาย

ตัวอย่าง:

  • คู่เงิน: EUR/USD
  • ราคาซื้อ (Bid Price): 1.2000
  • ราคาขาย (Ask Price): 1.2005

ในที่นี้ ราคาซื้อ (Bid Price) ของคู่เงิน EUR/USD คือ 1.2000 หมายถึงนักลงทุนสามารถซื้อสกุลเงิน EUR จากตลาดในราคานี้

นักลงทุนสามารถตรวจสอบราคาซื้อ (Bid Price) ในแพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์ ซึ่งราคาซื้อ (Bid Price) จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามการเคลื่อนไหวของตลาด Forex

ราคาขาย (Ask Price) เป็นราคาที่คนขาย (Seller) พร้อมจะขายสินทรัพย์ในตลาดให้แก่คนซื้อ (Buyer) ในตลาด Forex ราคาขายหรือ Ask Price จะแสดงในช่วงราคาที่ผู้ขายพร้อมจะขายสกุลเงินหรือคู่เงินในขณะนั้นให้แก่ผู้ซื้อ

ตัวอย่างการแสดงราคาขาย (Ask Price) ในการซื้อคู่เงิน EUR/USD อาจเป็นดังนี้:

Bid Price (ราคาซื้อ): 1.2000 Ask Price (ราคาขาย): 1.2005

ดังนั้น หากคุณต้องการซื้อคู่เงิน EUR/USD คุณจะต้องจ่ายราคาขายหรือ Ask Price คือ 1.2005 สำหรับแต่ละหน่วยของสกุลเงินนั้นๆ

การเปิดพอร์ต (Opening Position) ในการซื้อขาย Forex เป็นกระบวนการที่นักลงทุนเปิดตำแหน่งซื้อหรือขายสกุลเงินในตลาด โดยส่งคำสั่งซื้อเข้าสู่ตลาดผ่านโบรกเกอร์

เมื่อนักลงทุนเปิดพอร์ต หมายถึงการเริ่มต้นการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือสกุลเงินที่เลือกซื้อหรือขาย โดยจะระบุทิศทางของการซื้อหรือขาย (Long หรือ Short) และปริมาณการซื้อขาย (Lot) ที่ต้องการ

ตัวอย่างการเปิดพอร์ต :

  • เปิดพอร์ต Long: นักลงทุนซื้อสกุลเงินเพื่อคาดว่าราคาจะขึ้น
  • เปิดพอร์ต Short: นักลงทุนขายสกุลเงินเพื่อคาดว่าราคาจะลง

การปิดพอร์ต (Closing Position) ในการซื้อขาย Forex เป็นกระบวนการที่นักลงทุนปิดตำแหน่งซื้อหรือขายสกุลเงินที่ถืออยู่ในตลาด โดยส่งคำสั่งปิดพอร์ตเข้าสู่ตลาดผ่านโบรกเกอร์

เมื่อนักลงทุนปิดพอร์ต หมายถึงการทำสิ้นสุดการถือครองหรือการซื้อขายสกุลเงินที่นักลงทุนทำไว้ โดยสามารถทำได้เมื่อราคาขายหรือราคาซื้อที่ตลาดตรงกับที่นักลงทุนต้องการ

ตัวอย่างการปิดพอร์ต:

  • ปิดพอร์ต Long: นักลงทุนขายสกุลเงินที่ถืออยู่หลังจากมีกำไรหรือขาดทุน เพื่อทำการรับกำไรหรือลดขาดทุน
  • ปิดพอร์ต Short: นักลงทุนซื้อสกุลเงินที่ถืออยู่หลังจากมีกำไรหรือขาดทุน เพื่อทำการรับกำไรหรือลดขาดทุน

การปิดพอร์ตสามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์ โดยในการส่งคำสั่งปิดพอร์ต นักลงทุนจะต้องระบุปริมาณการซื้อขายที่ต้องการปิด และราคาที่ตลาดปรากฏในขณะนั้นจะใช้ในการปิดตำแหน่งที่ถืออยู่ ราคาปิดจะมีผลต่อกำไรหรือขาดทุนที่นักลงทุนได้รับ

กำไร (Profit) ในการซื้อขาย Forex เกิดขึ้นเมื่อราคาขายหรือราคาปิดของตลาดสูงกว่าราคาซื้อหรือราคาเปิด นักลงทุนจะได้รับกำไรจากการซื้อขายในตลาดนั้นๆ

การคำนวณกำไรแบบง่ายในการซื้อขาย Forex คือ ราคาขายหรือราคาปิดของตลาดลบราคาซื้อหรือราคาเปิด และนำผลลัพธ์ที่ได้มาคูณด้วยปริมาณการซื้อขายที่ทำ

สำหรับตัวอย่างการคำนวณกำไร:

  • การซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.2000 และขายในภายหลังที่ราคา 1.2050 ใน Lot Standard 100,000 หน่วย

กำไร = (ราคาขาย – ราคาซื้อ) x จำนวนหน่วยสกุลเงินที่ซื้อ

  • = (1.2050 – 1.2000) x 100,000
  • = 0.0050 x 100,000
  • = 500 USD

ดังนั้น นักลงทุนจะได้กำไร 500 ดอลลาร์จากการซื้อขายนี้

*ควรจะทราบว่าผลกำไรจะขึ้นอยู่กับขนาดการซื้อขาย (Lot) และการเปลี่ยนแปลงราคาของตลาด Forex ในการคำนวณกำไรและขาดทุนแบบละเอียด คุณควรพิจารณาค่า Spread (ส่วนต่างราคาซื้อขาย) และค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์อื่นๆ ที่อาจมีอยู่

ขาดทุน (Loss) ในการซื้อขาย Forex เกิดขึ้นเมื่อราคาขายหรือราคาปิดของตลาดต่ำกว่าราคาซื้อหรือราคาเปิด นักลงทุนจะสูญเสียเงินจากการซื้อขายในตลาดนั้นๆ

การคำนวณขาดทุนแบบง่ายในการซื้อขาย Forex คือ ราคาซื้อหรือราคาเปิดลบราคาขายหรือราคาปิด และนำผลลัพธ์ที่ได้มาคูณด้วยปริมาณการซื้อขายที่ทำ

สำหรับตัวอย่างการคำนวณขาดทุน:

  • การซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.2000 และขายในภายหลังที่ราคา 1.1950 ใน Lot Standard 100,000 หน่วย

ขาดทุน = (ราคาซื้อ – ราคาขาย) x จำนวนหน่วยสกุลเงินที่ซื้อ

  • = (1.2000 – 1.1950) x 100,000
  • = 0.0050 x 100,000
  • = 500 USD

ดังนั้น นักลงทุนจะสูญเสียขาดทุน 500 ดอลลาร์จากการซื้อขายนี้

*ควรจะทราบว่าผลขาดทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดการซื้อขาย (Lot) และการเปลี่ยนแปลงราคาของตลาด Forex ในการคำนวณกำไรและขาดทุนแบบละเอียด คุณควรพิจารณาค่า Spread (ส่วนต่างราคาซื้อขาย) และค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์อื่นๆ ที่อาจมีอยู่

การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดในการซื้อขาย Forex โดยใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และกราฟราคา เพื่อสร้างแนวโน้มและทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต

หลักการของการวิเคราะห์เทคนิคคือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น แท่งเทียน (Candlestick), ส่วนต่ำสุดและส่วนสูงสุด (Support and Resistance), ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), แบนด์ช่วงราคา (Bollinger Bands) ฯลฯ เพื่อจำแนกแนวโน้มของราคา การเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวของราคา

ผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์เทคนิคจะพยายามหาลักษณะแบบฉบับของราคาในอดีตเพื่อประมวลผลและประมาณการในอนาคต โดยส่วนใหญ่จะใช้กราฟราคาเพื่อวิเคราะห์ และใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เช่น การเข้าสู่ตลาด (Entry) และการออกจากตลาด (Exit) ในการซื้อขาย

การวิเคราะห์เทคนิคไม่สามารถทำนายราคาได้อย่างแม่นยำ แต่สามารถให้ข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมในการตัดสินใจของนักลงทุน และส่งผลต่อการจัดการความเสี่ยงและการวางแผนการเทรดในตลาด Forex

การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดในการซื้อขาย Forex โดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นฐานเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการซื้อขาย

การวิเคราะห์พื้นฐานในการซื้อขาย Forex ใช้ข้อมูลเช่น ข่าวเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย, นโยบายการเงินของธนาคารกลาง, ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ, สถานการณ์ทางการเมือง และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อค่าเงิน

ผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์พื้นฐานจะศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงิน ความสมดุลระหว่างประเทศ และโอกาสในการลงทุนในสกุลเงินนั้นๆ

วิธีการวิเคราะห์พื้นฐานในการซื้อขาย Forex อาจใช้เครื่องมือเช่น การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), การวิเคราะห์อัตราผลตอบแทน (Return on Investment), การวิเคราะห์การปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการซื้อขาย

ความผันผวน (Volatility) ในการซื้อขาย Forex หมายถึงระดับความสั่งสวนหรือการเปลี่ยนแปลงของราคาสกุลเงินในช่วงเวลาที่ระบุ ความผันผวนจะแสดงถึงความไม่แน่นอนในการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วหรือมีการเคลื่อนไหวอย่างไม่ต่อเนื่อง

การวัดความผันผวนสามารถใช้ตัวชี้วัดเช่น Average True Range (ATR) เพื่อวัดระดับความผันผวนของราคา โดยทั่วไปแล้วความผันผวนสูงจะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีความเสี่ยงสูงในการซื้อขาย ในขณะที่ความผันผวนต่ำจะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยและมีความเสี่ยงต่ำกว่า

ความผันผวนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจในการซื้อขาย นักลงทุนที่ต้องการกำไรในระยะสั้นอาจเลือกสกุลเงินที่มีความผันผวนสูงเนื่องจากมีโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาเร็ว ในขณะที่นักลงทุนที่ต้องการความเสถียรและเลือกลงทุนในระยะยาวอาจเลือกสกุลเงินที่มีความผันผวนต่ำเพื่อลดความเสี่ยงในการซื้อขาย

ช่วงเวลา (Timeframe) ในการซื้อขาย Forex เป็นระยะเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์และติดตามการเคลื่อนไหวของราคาในกราฟ โดยแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลในการตัดสินใจซื้อขาย

หลายๆ โบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขาย Forex จะมีช่วงเวลาที่นักลงทุนสามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายช่วง เช่น:

  1. ช่วงเวลาสั้น (Short-term Timeframes): เช่น 1 นาที (1-minute), 5 นาที (5-minute), 15 นาที (15-minute) เป็นต้น ช่วงเวลาสั้นมักใช้ในการซื้อขายระยะสั้นและการเทรดที่ต้องการสัมผัสกับการเคลื่อนไหวของราคาในขณะนั้นๆ
  2. ช่วงเวลากลาง (Intermediate Timeframes): เช่น 1 ชั่วโมง (1-hour), 4 ชั่วโมง (4-hour), 1 วัน (1-day) เป็นต้น ช่วงเวลากลางใช้ในการซื้อขายระยะกลางและการวิเคราะห์ที่มีข้อมูลราคาสะท้อนความเคลื่อนไหวในระยะเวลานานขึ้น
  3. ช่วงเวลายาว (Long-term Timeframes): เช่น 1 สัปดาห์ (1-week), 1 เดือน (1-month), 1 ปี (1-year) เป็นต้น ช่วงเวลายาวใช้ในการซื้อขายระยะยาวและการวิเคราะห์ที่มีการเคลื่อนไหวราคาในระยะเวลานานที่สุด

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงข้อมูลราคาในการซื้อขาย Forex ที่ใช้รูปแบบของแท่งเทียนเพื่อแสดงความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด

แต่ละแท่งเทียนจะแสดงราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High), และราคาต่ำสุด (Low) ในช่วงเวลาที่กำหนด เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา

  • หากแท่งเทียนสีเขียวหรือขาว แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่เปิดต่ำกว่าราคาปิด ราคาปิดจะอยู่สูงกว่าราคาเปิด
  • หากแท่งเทียนสีแดงหรือดำ แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่เปิดสูงกว่าราคาปิด ราคาปิดจะอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด

รูปแบบแท่งเทียนสามารถช่วยในการวิเคราะห์และตีความข้อมูลราคาได้หลากหลาย ในการใช้งานจริง นักลงทุนสามารถใช้รูปแบบแท่งเทียนในการตรวจสอบแนวโน้มของราคา ระดับการสนับสนุนและความต้านทาน การแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงทางราคา และรูปแบบเทคนิคอื่นๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการซื้อขาย Forex

สัญญาณการซื้อขาย (Trading Signal) เป็นการแสดงให้ทราบว่ามีโอกาสที่ดีในการเปิดหรือปิดตำแหน่งซื้อขายในตลาด Forex โดยอาจมาจากการวิเคราะห์เทคนิคหรือการวิเคราะห์พื้นฐาน

สัญญาณการซื้อขายอาจมีรูปแบบหลายแบบ เช่น:

  1. สัญญาณซื้อ (Buy Signal): สัญญาณที่แสดงว่ามีโอกาสที่ดีในการเปิดตำแหน่งซื้อ อาจเป็นเนื่องจากมีรูปแบบของแท่งเทียนที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มเป็นกลับกัน หรือตัวชี้วัดเทคนิคที่แสดงสัญญาณการซื้อ
  2. สัญญาณขาย (Sell Signal): สัญญาณที่แสดงว่ามีโอกาสที่ดีในการเปิดตำแหน่งขาย อาจเป็นเนื่องจากมีรูปแบบของแท่งเทียนที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มเป็นกลับกัน หรือตัวชี้วัดเทคนิคที่แสดงสัญญาณการขาย

สัญญาณการซื้อขายอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์และตัดสินใจในการซื้อขาย แต่ควรระมัดระวังและใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจ และควรทดลองทดสอบสัญญาณการซื้อขายก่อนนำมาใช้งานจริง

ตัวชี้วัดเทคนิค (Technical Indicator) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในราคาและแนวโน้มของตลาดในการซื้อขาย Forex

ตัวชี้วัดเทคนิคจะใช้สูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อประมวลผลข้อมูลราคา และจะแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิเพื่อให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตีความได้

ตัวชี้วัดเทคนิคที่นิยมใช้ในการซื้อขาย Forex :

  1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average): ช่วยในการแสดงแนวโน้มของราคาและช่วยตรวจสอบจุดสัมผัสของราคากับเส้นเคลื่อนที่เฉลี่ย
  2. แบนด์ช่วงราคา (Bollinger Bands): ช่วยในการวิเคราะห์ความแปรปรวนของราคาและแสดงปริมาณความคล่องตัวของตลาด
  3. แรงขาย (Relative Strength Index – RSI): ช่วยในการวิเคราะห์ตำแหน่งการซื้อขายเกินเป็นเวลา
  4. คอเรลลาชั่น (Correlation): ช่วยในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน
  5. อัตราส่วนเชิงเส้น (Fibonacci Retracement): ช่วยในการหาระดับการแก้ไขราคาหรือระดับการหมุนกลับที่เป็นไปได้
  6. แสดงแรงขาย (Volume): ช่วยในการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในตลาด
  7. อินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น MACD (Moving Average Convergence Divergence), Stochastic Oscillator, Parabolic SAR, ฯลฯ ซึ่งสามารถใช้ในการวิเคราะห์และตีความแนวโน้มของราคาและตัดสินใจในการซื้อขายได้

ระดับสนับสนุนและต้านทางเทคนิค (Support and Resistance Levels) เป็นระดับราคาที่มีความสำคัญในการซื้อขาย Forex ซึ่งสรุปได้ดังนี้:

  1. ระดับสนับสนุน (Support Level): เป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มลดลงและมีแรงซื้อมากขึ้น เมื่อราคาลงมาถึงระดับสนับสนุน มักจะมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากพึงพอใจในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ทำให้ราคามีแนวโน้มขึ้นไปอีกครั้งหรือขจัดราคากลับขึ้น
  2. ระดับต้านทาน (Resistance Level): เป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มขึ้นและมีแรงขายมากขึ้น เมื่อราคาเพิ่มขึ้นมาถึงระดับต้านทาน มักจะมีผู้ขายเข้ามาขายลง เนื่องจากพึงพอใจในราคาที่สูงกว่าเดิม ทำให้ราคามีแนวโน้มลงกลับหรือขจัดราคากลับลง

การใช้งานระดับสนับสนุนและต้านทานเทคนิคช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา ช่วยระบุระดับที่มีความสำคัญในการเป็นจุดสัมผัสของราคา และช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย เช่น เมื่อราคาเคลื่อนที่สูงสุดและผ่านระดับต้านทาน อาจเป็นสัญญาณในการขาย

ความเสี่ยง (Risk) ในการซื้อขาย Forex เป็นความเป็นไปได้ที่อาจเกิดความสูญเสียหรือขาดทุนจากการซื้อขายในตลาดนั้นๆ ซึ่งสรุปได้ดังนี้:

  1. ความผันผวนในราคา: ตลาด Forex มีความผันผวนสูง ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงราคาที่ไม่คาดคิด
  2. การใช้เงินค้ำประกัน (Margin): การซื้อขายในตลาด Forex บางครั้งอาจใช้เงินค้ำประกัน (Margin) เพื่อทำการซื้อขายในขนาดที่ใหญ่กว่าทุนจริง การใช้เงินค้ำประกันนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่มากกว่าทุนที่ลงทุน
  3. ความผิดพลาดในการวิเคราะห์: การวิเคราะห์ราคาในตลาด Forex อาจมีความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์ที่อาจเกิดการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการซื้อขาย
  4. ความเป็นอิสระของตลาด: ตลาด Forex เป็นตลาดที่ไม่มีการควบคุมหรือกำกับจากหน่วยงานรัฐบาล ทำให้มีความเป็นอิสระสูง แต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างความไม่แน่นอนและเสี่ยงต่อการซื้อขาย

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ในการซื้อขาย Forex เป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียหรือขาดทุนจากการซื้อขาย ซึ่งสามารถทำได้โดยตรงถึงเป้าหมายการลงทุนของคุณ ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นที่จะให้คุณมีความสำเร็จในการซื้อขาย Forex

นี่คือหลักการของการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญในการซื้อขาย Forex:

  1. การกำหนดขีดจำกัดของความเสี่ยง: กำหนดขีดจำกัดเพื่อรักษาการสูญเสียหรือขาดทุนในระดับที่ยอมรับได้ เช่น กำหนดจำนวนเงินที่คุณพร้อมสูญเสียในการซื้อขายในแต่ละครั้ง
  2. การใช้เงินค้ำประกัน (Margin): ใช้เงินค้ำประกันอย่างระมัดระวังและในขนาดที่สามารถจัดการได้ ไม่ควรใช้เงินค้ำประกันเกินจำเป็นเพราะอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวไม่ตามทิศทางที่คุณคาดหวัง
  3. การควบคุมการเปิดตำแหน่ง: กำหนดขนาดการเปิดตำแหน่งให้เหมาะสมกับยอดเงินทุนที่คุณมี เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียที่สูงขึ้น
  4. การใช้การสั่งซื้อแบบระบุจำนวน: การใช้การสั่งซื้อแบบระบุจำนวนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย Forex โดยที่คุณกำหนดจำนวนหน่วยของสินทรัพย์ที่ต้องการซื้อหรือขายในแต่ละครั้ง โดยสั่งซื้อและขายสินทรัพย์ในขนาดที่เหมาะสมกับการจัดการความเสี่ยงของคุณ

การบริหารเงิน (Money Management) ในการซื้อขาย Forex เป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการเงินทุนในการลงทุน โดยการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียหรือขาดทุนในการซื้อขาย ซึ่งสรุปได้ดังนี้:

  1. กำหนดแผนงานการลงทุน: กำหนดวัตถุประสงค์การลงทุน และกำหนดกฎเกณฑ์การเทรดที่ชัดเจน เช่น การตั้งเป้าหมายกำไรและขาดทุนที่ยอมรับ เพื่อให้คุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติตามได้
  2. การกำหนดขีดจำกัดของความเสี่ยง: กำหนดจำนวนเงินที่คุณพร้อมสูญเสียในการซื้อขายในแต่ละครั้ง โดยไม่ควรเสี่ยงให้สูญเสียเงินที่เกินกว่าที่คุณยอมรับได้
  3. การควบคุมการใช้เงินค้ำประกัน (Margin): ใช้เงินค้ำประกันอย่างระมัดระวังและในขนาดที่สามารถจัดการได้ ควรคำนึงถึงการใช้เงินค้ำประกันเพื่อลดความเสี่ยงที่สูงขึ้น
  4. การควบคุมการเปิดตำแหน่ง: กำหนดขนาดการเปิดตำแหน่งให้เหมาะสมกับยอดเงินทุนที่คุณมี เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียที่สูงขึ้น

แผนการเทรด (Trading Plan) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการซื้อขาย Forex ซึ่งเป็นแผนรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขาย กฎเกณฑ์การตัดสินใจ และวิธีการจัดการเงินที่คุณจะทำตามในการเทรด สร้างแผนการเทรดที่ดีช่วยให้คุณมีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex

นี่คือองค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรดที่คุณควรรวมอยู่:

  1. กลยุทธ์การเทรด: กำหนดกฎเกณฑ์และกลยุทธ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ตลาด เช่น การใช้เทคนิคการวิเคราะห์เทคนิคหรือการวิเคราะห์พื้นฐาน รวมถึงการตัดสินใจในการเปิดหรือปิดตำแหน่ง
  2. ระยะเวลาการซื้อขาย: กำหนดช่วงเวลาที่คุณจะซื้อขายในตลาด Forex เช่น การเลือกการเทรดในระยะเวลาสั้นๆ เช่นวันหรือการเทรดในระยะยาวๆ เช่นสัปดาห์หรือเดือน
  3. การจัดการเงิน: กำหนดวิธีการจัดการเงินในการซื้อขาย เช่น การกำหนดขีดจำกัดของการสูญเสียหรือขาดทุนที่ยอมรับได้ และการควบคุมการใช้เงินค้ำประกันในการเทรด

หน่วยเวลา (Time Unit) ในการซื้อขาย Forex เป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์และติดตามข้อมูลราคาของสกุลเงินหรือคู่เงินต่างๆ ซึ่งสามารถใช้ในการวางแผนการเทรดและตัดสินใจในการซื้อขายได้ โดยทั่วไปในแพลตฟอร์มการซื้อขาย Forex จะมีหน่วยเวลาต่อไปนี้:

  1. นาที (Minute): เป็นการแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งนาที
  2. ชั่วโมง (Hour): เป็นการแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง
  3. วัน (Day): เป็นการแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งวัน
  4. สัปดาห์ (Week): เป็นการแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์
  5. เดือน (Month): เป็นการแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งเดือน

นอกจากนี้ยังมีหน่วยเวลาอื่นๆ ที่มีความสำคัญเช่น ระยะยาว (Long-term), ระยะกลาง (Intermediate-term), ระยะสั้น (Short-term) ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่กำหนดโดยนักซื้อขายเอง ในการใช้หน่วยเวลาควรพิจารณาเป็นพิเศษตามกลยุทธ์การซื้อขายและการวิเคราะห์ของคุณ

การเข้าออกตลาด (Entry and Exit Strategies) เป็นส่วนสำคัญในการซื้อขาย Forex เพื่อทำให้คุณสามารถตัดสินใจเมื่อเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีเหตุผล โดยทั่วไปแล้วมีหลายวิธีในการกำหนดกลยุทธ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม นี่คือสำคัญลำดับที่จะพิจารณาในการกำหนดกลยุทธ์การเข้าและออกจากตลาด:

  1. วิเคราะห์เทคนิค: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เทคนิค เช่น ระดับสนับสนุนและความต้านทาน ตัวชี้วัดเทคนิค เทรนไลน์ หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่เหมาะสมในตลาด
  2. การวิเคราะห์พื้นฐาน: ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจ ข่าวประเภทต่างๆ และเหตุการณ์ทางการเมือง เพื่อตัดสินใจเมื่อเข้าและออกจากตลาดโดยใช้เหตุผลทางพื้นฐาน
  3. ระดับการเข้า-ออก: กำหนดระดับราคาที่ต้องการเข้าและออกจากตลาด โดยใช้ระดับสนับสนุนและความต้านทาน และตัวชี้วัดเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้คุณมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในการเข้าและออกจากตลาด
  4. การจัดการเงิน: กำหนดขนาดการซื้อขายที่เหมาะสมเทียบกับยอดเงินทุนของคุณ และกำหนดจำนวนหน่วยที่คุณพร้อมที่จะเสี่ยงในการซื้อขาย

คำสั่ง Stop Loss (Stop Loss Order) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดระดับราคาที่คุณต้องการให้ตลาดขายออกโดยอัตโนมัติ เพื่อลดการขาดทุนหรือการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ตลาดเคลื่อนที่ตรงข้ามกับทิศทางที่คุณคาดหวัง

เมื่อคุณใช้คำสั่ง Stop Loss คุณจะต้องกำหนดระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการซื้อ (หรือสูงกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการขาย) และหากตลาดเคลื่อนที่และถึงระดับราคานี้ คำสั่ง Stop Loss จะถูกส่งออกและตำแหน่งการซื้อขายจะถูกปิดอัตโนมัติ

การใช้คำสั่ง Stop Loss เป็นส่วนสำคัญในการจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย Forex เนื่องจากมันช่วยปกป้องการขาดทุนที่ไม่คาดคิด และช่วยให้คุณสามารถรักษาสมดุลการเงินและการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนของคุณได้

คำสั่ง Take Profit (Take Profit Order) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดระดับราคาที่คุณต้องการให้ตลาดขายออกโดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณสามารถแก้ไขกำไรที่คุณได้ทำได้อย่างมีความคุ้มค่า

เมื่อคุณใช้คำสั่ง Take Profit คุณจะต้องกำหนดระดับราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการซื้อ (หรือต่ำกว่าราคาปัจจุบันสำหรับการขาย) และหากตลาดเคลื่อนที่และถึงระดับราคานี้ คำสั่ง Take Profit จะถูกส่งออกและตำแหน่งการซื้อขายจะถูกปิดอัตโนมัติ

การใช้คำสั่ง Take Profit ช่วยให้คุณสามารถยึดกำไรที่ได้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณบริหารจัดการการเทรดของคุณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับตลาด Forex และยังมีคำศัพท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในตลาด Forex อีกมากมาย ที่มีความสำคัญและมีบทบาทในการซื้อขาย Forex

โบรกเกอร์ Forex
ปลอดภัยสำหรับการลงทุนของคุณ
เพียงฝากเงิน เลือกระดับโบนัสที่ต้องการ
ให้บริการ Live chat โดยเจ้าหน้าที่คนไทย
Server เร็ว และ เสถียร ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโบรกเกอร์ที่ดี
โปรแกรมสะสมคะแนนที่ชื่อว่า "Cashback" สามารถแลกคะแนนเหล่านี้เป็นเงินสด
โบรกเกอร์นี้ ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า และ มีโปรโมชั่น และโบนัสต่างๆ เยอะมาก
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการโบรกเกอร์ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือ